เมื่อวันที่ 20 พ.ค. เอเอฟพีรายงานว่า ทางการสหรัฐอเมริกากับจีนบรรลุข้อตกลงยุติสงครามการค้าระหว่างกันแล้ว ภายหลังมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและสองของโลกออกมาตรการทางเศรษฐกิจตอบโต้กันไปด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าหลายประเภทจนส่งผลกระทบและสร้างความกังวลไปทั่วโลก

การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการหารือกันระหว่างคณะผู้แทนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายที่กรุงวอชิงตัน โดยมีนายสตีเว่น เอ็มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ หารือกับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นผู้นำคณะของฝ่ายจีน ระบุว่าทั้งสองชาติบรรลุข้อตกลงที่จะเลิกต่อสู้กันในสงครามการค้า และจะยุติการใช้มาตรการด้านภาษีตอบโต้กัน ขณะที่แถลงการณ์ร่วมของสหรัฐและจีน ระบุว่า จีนจะเพิ่มปริมาณนำเข้าสินค้าจากสหรัฐด้วย

“ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะวางมาตรการเพื่อลดการขาดดุลของฝ่ายสหรัฐจากการนำเข้าสินค้าจากจีน” และว่า “ฝ่ายจีนจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของชาวจีนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพ” แถลงการณ์ระบุ

นายหลิว กล่าวว่า ข้อตกลงที่เกิดขึ้นนั้นมีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าการลดความเย็นชาต่อกันทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน การแก้ไขปัญหาทางด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและการค้าของทั้งสหรัฐและจีนจำเป็นต้องใช้เวลา

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศจะใช้มาตรการขึ้นภาษีครั้งใหม่เพื่อจัดการกับสินค้าของจีน ซึ่งนายทรัมป์อ้างว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ มูลค่าถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาท มีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ ทำให้จีนขู่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ครั้งใหม่อี