10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 5 ปีข้างหน้า ในงาน Thailand Tech Show – อว. Fair 2024

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 5 ปีข้างหน้า ในงาน Thailand Tech Show – อว. Fair 2024

อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 2567
  • Share :
  • 2,451 Reads   

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ. สวทช. นำเสนอ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2567 ที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ภายในงาน “Thailand Tech Show 2024” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว.Fair 2024” SCI-POWER For Future Thailand จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2567” (10 Technologies to Watch 2024) โดยนำเสนอแนวโน้มหรือเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ครึ่งหนึ่งเป็น digital technology และมี AI ร่วมอยู่ด้วย แสดงให้เห็นถึงการมาถึงของยุค AI ได้เป็นอย่างดี ขณะที่มี 3 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับสุขภาพ กับอีก 2 เทคโนโลยีด้านพลังงาน และอีก 1 เทคโนโลยีด้านการประมง ดังนี้

1. กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle) 

กล้ามเนื้อเทียมหรือกล้ามเนื้อจำลอง สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบการทำงานของกล้ามเนื้อจริงตามธรรมชาติ  โดยปัจจุบันมีความต้องการกล้ามเนื้อเทียมเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การใช้เป็นอุปกรณ์สวมใส่เพื่อช่วยในการฟื้นฟูหรือเสริมแรงสำหรับผู้พิการ การผ่าตัดแบบ microsurgery นอกจากนี้ยังมีความต้องการนำกล้ามเนื้อเทียมไปประยุกต์ใช้ในหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และระบบควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม (industrial automation) เพื่อให้หุ่นยนต์มีน้ำหนักเบา สามารถทำงานกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย 

2. จุลชีพในลำไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Healthcare)

ร่างกายส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในลำไส้ ซึ่งถ้าขาดสมดุลของจุลินทรีย์มีประโยชน์ ก็จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ทั้งโรคทางเดินอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคทางเมแทบอลิกต่าง ๆ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มากมายในท้องตลาดที่มีจุลินทรีย์ดี ทั้งแบบพรีไบโอติก (prebiotic) โพรไบโอติก (probiotic) และซินไบโอติก (synbiotic) ในอนาคตอันใกล้อาจมีการใช้เชื้อที่ผ่านการวิศวกรรม จนได้คุณสมบัติแปลกใหม่เพิ่มเติมหรือดีกว่าเดิม อาจช่วยเฝ้าระวังหรือรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจงได้อีกด้วย ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ดังกล่าวอาจสร้างขึ้นได้ โดยอาศัยความรู้ที่เรียกว่า ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology)  ซึ่งใช้หลักการทางวิศวกรรมชีวเคมี ในการออกแบบและสร้างระบบชีวภาพ จนได้เป็น “วงจรยีน (gene circuit)” ในเซลล์ซึ่งเปิด-ปิดการทำงานของยีนบางอย่างได้อย่างจำเพาะ โดยอาศัยการตอบสนองสัญญาณหรือตัวกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถแจ้งเตือนการเกิดโรค หรือสามารถย่อยสลายสารพิษ หรือรักษาโรคได้อีกด้วย

3. แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare)

จะดีแค่ไหน หากเรารู้ผลการรักษาก่อนการรักษาจริง  สามารถปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับเราที่สุด หรือแม้แต่สามารถประเมินความเสี่ยงการเป็นโรคต่าง ๆ ของเราได้ล่วงหน้า ปัจจุบันมีบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา Digital Twin Platform สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยจำลองระบบการเผาผลาญพลังงานของผู้ป่วยจากข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วย  และบริษัทในประเทศสิงคโปร์ ได้พัฒนาระบบทำนายความเสี่ยงในการเป็นโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยเบาหวาน โดยใช้แบบจำลอง AI ที่ประมวลผลจากข้อมูลประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ ของผู้ป่วย โดยในส่วนของประเทศไทยมีแนวโน้มที่บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมทั้งบริษัท health-tech startup ที่จะนำเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใช้งานในประเทศไทยในอนาคต 

4. การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI-Augmented Software Development)

ความก้าวหน้าของ generative AI และ Machine Learning เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถนำ AI มาใช้ในกระบวนการออกแบบ สร้าง ทดสอบ รวมไปถึงการวางตลาดแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วมากขึ้น ประมาณการณ์กันว่าจะมีการยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของการทำซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ราว 35-45% ไปพร้อม ๆ กับการลดต้นทุนได้ถึง 20% โดยใช้เวลาที่สั้นลงอีกด้วย ทั้งนี้คาดว่าภายในปี พ.ศ.2571 วิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ในองค์กรราว 75% จะใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ด เทียบกับปัจจุบันที่ยังทำเช่นนี้น้อยกว่า 10%

5. เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology)

ปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์สวมใส่บนร่างกายที่ใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์แบบไบโอเมทริก (biometric sensor) ซึ่งเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ด้วยอัลกอริทึมแบบ deep learning ก็ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอแนะ และคำแนะนำต่าง ๆ ที่แม่นยำแก่ผู้ใช้งานได้ โดยอุปกรณ์สวมใส่ AI รุ่นใหม่ ๆ จะทำงานรวดเร็วขึ้น และทำงานได้อย่างแม่นยำเที่ยงตรงมากขึ้น 

ในส่วนของทีม A-MED สวทช. ได้พัฒนาระบบเซนเซอร์อัจฉริยะสำหรับสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย เพื่อตรวจจับอิริยาบถและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รวมไปถึงท่านอน การล้ม และตำแหน่งที่เกิดเหตุภายในอาคาร พร้อมแสดงผลและแจ้งเตือนผู้ดูแลแบบเรียลไทม์ 

6. เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs)

การเก็บข้อมูลในคลาวด์และการใช้ IoT มีบทบาทมากขึ้น แต่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs) จึงมีความสำคัญในการช่วยคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ผ่านการเข้ารหัสแบบใหม่ที่ทำให้ข้อมูลประมวลผลบนคลาวด์ได้ “โดยไม่ต้องถอดรหัส” ในบางประเทศมีการนำเทคโนโลยี PETs มาให้บริการแล้วในวงการการเงิน สุขภาพ และทรัพยากรบุคคล

สำหรับประเทศไทย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ให้ใช้กับแพลตฟอร์ม IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Industry 4.0 ของประเทศในชื่อ ไซบิลเลี่ยน (CYBLION) พ้องเสียงกับชื่อสายพันธ์สุนัข ช่วยทำให้การคำนวณข้อมูลของโรงงานอุตสาหกรรมบนคลาวด์ทำได้อย่างปลอดภัย โดยเนคเทคได้ทดสอบใช้งานจริงในโรงงานธนากรผลิตน้ำมันพืชจำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) แล้ว

7. หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot)

เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (robotics) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปัจจุบันมีการใช้งานหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยแล้วในหลายประเทศ ตลาดโลกของหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย ประเมินกันว่าอาจจะสูงถึง 71,800 ล้านเหรียญในปี พ.ศ.2570 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 17.8% ขณะที่เฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิกสูงถึงเกือบ 20% โดยปัจจัยกระตุ้นสำคัญคือ ความต้องการเทคโนโลยีนี้ในทางทหารและการป้องกันประเทศเป็นหลัก

ในส่วนของ สวทช. มีองค์ความรู้ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบสื่อสาร และ AI ทำให้สามารถบูรณาการองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยได้ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด การที่มีระบบฐานข้อมูล ระบบควบคุมและประมวลผลที่พัฒนาขึ้นเอง จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า 

8. เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology)

การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ทำให้มีความต้องการแบตเตอรี่โดยเฉพาะแบบลิเทียมไอออน เพราะมีการใช้กับยานยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเติบโตมากกว่า 25% ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในปี พ.ศ.2573 จึงเกิดความต้องการเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ปัจจุบันมักอาศัยความร้อนสูง หรือใช้กระบวนการที่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษ ความพยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการทั้งสองแบบนี้ นำมาสู่ “เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง” ที่ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากอาศัยกระบวนการทางกายภาพในการร่อน ตัด ย่อย บด และคัดแยกนำสารเพื่อนำกลับมาใช้สร้างเป็นขั้วแคโทด (cathode) ของแบตเตอรี่ขึ้นใหม่ ประเมินกันว่าเทคโนโลยีแบบนี้อาจไปถึงจุดที่มีความสามารถในการนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ได้มากถึง 90% อีกทั้งจะสามารถลดความต้องการสินแร่ใหม่เพื่อนำมาผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่า 25% ในปี พ.ศ.2573

9. ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility)

รถยนต์ปัจจุบันกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ คาดกันว่าพลังงานจากไฮโดรเจนจะเป็นอีกตัวเลือกของพลังงานอนาคต ในส่วนของประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตไบโอไฮโดรเจน (biohydrogen) จากพื้นฐานความเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีสารตั้งต้นจากก๊าซมีเทนในมูลสัตว์หรือชีวมวลต่าง ๆ ที่จัดเป็นกรีนไฮโดรเจน (green hydrogen) แบบหนึ่ง ซึ่งอาจนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นไฮโดรเจนออกมาในที่สุด ต้นทุนการผลิตไบโอไฮโดรเจนก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง กระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบนี้ ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) และนำมาขายเป็นคาร์บอนเครดิต (carbon credit) ของประเทศไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย 

10. ยุคถัดไปของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียน (Next Generation of Recirculating Aquaculture System: RAS)

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่การเพาะเลี้ยงด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงในกระชัง มีข้อเสียหลายประการ เช่น ใช้น้ำมากและสร้างมลพิษทางน้ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม โดยเทคโนโลยี RAS เป็นการเลี้ยงแบบใช้น้ำหมุนเวียน โดยมีการบำบัดของเสียออกจากน้ำและเติมออกซิเจนให้กับน้ำ มีข้อดีคือไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ สามารถเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างหนาแน่นในพื้นที่น้อย สามารถควบคุมสภาวะการเลี้ยงและมีการติดตามปัจจัยต่าง ๆ ได้ดีกว่าวิธีการแบบเดิม จึงลดความเสี่ยงจากโรคสัตว์น้ำได้มาก  

ที่ผ่านมา สวทช. ได้พัฒนาระบบ RAS สำหรับกุ้งและปลากะพงซึ่งเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ระบบที่พัฒนาขึ้นมีราคาที่ถูกลงกว่าในท้องตลาด ทำให้คืนทุนได้เร็วและสามารถควบคุมระบบการเลี้ยงได้ง่ายขึ้น

สำหรับการเปิดเผยแนวโน้ม 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2567 นี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ คาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ ทั้งในแง่ของข้อมูลเทรนด์โลกที่ควรให้ความสนใจ และในแง่ข้อมูลการตลาดเบื้องต้น เพื่อเปิดโอกาสภาคธุรกิจที่สนใจ ได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเหมาะสมต่อไป

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH