ทำไมธุรกิจถึงเริ่มหันมาใช้ Bitcoin เป็นทรัพย์สินคลัง

ทำไมธุรกิจถึงเริ่มหันมาใช้ Bitcoin เป็นทรัพย์สินคลัง

อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 2568
  • Share :

กระแสการถือครอง Bitcoin ในฐานะทรัพย์สินคลังขององค์กรหรือที่เรียกว่า "Bitcoin Treasury" กำลังเป็นแนวโน้มใหม่ที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก

โดยมีต้นแบบที่โดดเด่นคือบริษัท MicroStrategy ซึ่งประกาศทุ่มซื้อ Bitcoin ครั้งแรกในปี 2020 และเดินหน้าสะสมต่อเนื่องจนล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทได้ซื้อเพิ่มอีก 7,390 BTC เป็นมูลค่ากว่า 764.9 ล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดสะสมทะลุ 576,000 BTC กลายเป็นองค์กรที่ถือ Bitcoin มากที่สุดในโลก สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์เก็งกำไร แต่คือการวางแผนเพื่อสร้างความได้เปรียบในระยะยาว

สำหรับผู้บริหารอย่าง Michael Saylor นี่ไม่ใช่แค่การถือครองสินทรัพย์ แต่เป็นวิธีพลิกบทบาทขององค์กรให้กลายเป็น "ยานเก็บ Bitcoin" อย่างเต็มตัว พร้อมปรับภาพลักษณ์จากบริษัทซอฟต์แวร์รายเดิมไปสู่การเป็นแม่แบบของธุรกิจที่กล้าเสี่ยง กล้าทดลอง และได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล รายงานไตรมาสล่าสุดของ MicroStrategy ระบุว่ากำไรจากการถือครอง Bitcoin เพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 58% ของเป้ารายปี เป็นตัวเลขที่ยากจะหาได้จากสินทรัพย์ใดในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม

ในบริบทของไทย การถือครองคริปโตในระดับองค์กรอาจยังไม่แพร่หลายเท่าต่างประเทศ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณดีจากทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น มาตรการยกเว้นภาษีกำไรจากการซื้อขายคริปโตหากทำผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาต หรือการที่หน่วยงานรัฐเริ่มเปิดรับการพิจารณา Bitcoin ETF ในประเทศ ซึ่งจะยิ่งเอื้อต่อการเข้าถึงและลดอุปสรรคสำหรับองค์กรที่ต้องการถือสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ในงบดุลในระยะยาว

นอกจากการถือครองโดยตรงผ่าน Bitcoin ธุรกิจไทยยังเริ่มมองหาโอกาสในเหรียญทางเลือกที่อาจสร้างผลตอบแทนได้แบบก้าวกระโดดในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ติดตามเหรียญใหม่ที่อาจเข้า Binance ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายขนาดใหญ่ระดับโลก การเข้าไปอยู่ใน Binance หมายถึงการได้รับความสนใจอย่างมหาศาลจากผู้ใช้งานทั่วโลก ราคามักมีความผันผวนในทางบวกทันทีที่มีข่าวการลิสต์ นี่จึงกลายเป็นช่องทางอีกแบบหนึ่งที่องค์กรหรือผู้บริหารสายคริปโตในไทยเริ่มนำไปใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเงิน เพื่อเก็บโอกาสการเติบโตไว้ก่อนใคร

การที่ธุรกิจหันมาถือครอง Bitcoin แทนที่จะถือเงินบาทหรือดอลลาร์อย่างเดียว ไม่ได้สะท้อนเพียงแค่ความเชื่อในคริปโตเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และดอกเบี้ยที่ไม่จูงใจต่อการถือเงินสด Bitcoin ซึ่งถูกจำกัดจำนวนไว้ที่ 21 ล้านเหรียญทั่วโลก จึงกลายเป็นเครื่องมือรักษามูลค่าที่น่าดึงดูด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากสถิติย้อนหลังว่า ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 60% ต่อปีในช่วง 4 ปีหลัง ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนเพียงหลักหน่วยต่อปีเท่านั้น

ธุรกิจที่กล้าลงทุนใน Bitcoin จึงสามารถ "Arbitrage" หรือทำกำไรจากความต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างเงินสดที่ดอกเบี้ยต่ำ กับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว แม้จะมีความผันผวนบ้าง แต่หากวางแผนในลักษณะซื้อแล้วถือยาวโดยไม่มีการกู้ยืมแบบมีหลักประกัน โอกาสโดนเรียกมาร์จิ้นหรือขายบังคับก็แทบไม่มี

ในระดับโลก ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 100 แห่งที่เปิดเผยการถือครอง Bitcoin ในฐานะทรัพย์สินคลัง ไม่ว่าจะเป็น Tesla, Riot Platforms, SAAM ที่ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ รวมถึง Metaplanet ที่เพิ่งประกาศระดมทุนเพิ่ม 250 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ Bitcoin เพิ่ม การเปลี่ยนผ่านนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2024 ซึ่งส่งสัญญาณการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่อสินทรัพย์ดิจิทัล กระแสจึงพลิกจากระแวดระวังไปสู่การสนับสนุนเต็มตัว

แม้กระทั่งหุ้นของบริษัทที่ประกาศถือ Bitcoin ก็ได้รับผลตอบแทนที่โดดเด่น เช่น CEP ที่เพิ่มขึ้นถึง 200 % ภายในไม่กี่สัปดาห์ หรือ ASST ที่พุ่งกว่า 1,000% ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เป็นข้อพิสูจน์ว่า Bitcoin Treasury ไม่เพียงสร้างโอกาสให้กับองค์กร แต่ยังดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนแบบเร่งด่วนอย่างชัดเจน

แน่นอนว่าแนวโน้มนี้อาจยังใหม่สำหรับประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทที่มีเงินสดคงคลังและมองหาทางกระจายความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจผันผวน คริปโตจึงไม่ควรถูกมองข้ามอีกต่อไป เพราะในโลกที่สินทรัพย์ดั้งเดิมไม่สามารถรับประกันความมั่งคั่งได้อีกแล้ว บางทีการถือครอง Bitcoin อาจเป็นประตูสู่ยุคใหม่ของการบริหารทรัพย์สินที่ปลอดภัยกว่าและเติบโตได้มากกว่าที่คิด