ชินเด็นเก็น ประสบความสำเร็จในการผลิต MOSFET 140 แอมป์สำหรับรถยนต์ พร้อมเข้าสายพานการผลิตภายในปีหน้า

อัปเดตล่าสุด 8 ก.ย. 2560
  • Share :
  • 794 Reads   

Shindengen Electric Manufacturing ประสบความสำเร็จในการผลิต MOSFET (Metal–Oxide–Semiconductor Field-Effect Transistor / ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบใช้ออกไซด์โลหะ) สำหรับรถยนต์ ที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า MOSFET ทั่วไปถึง 1.8 เท่า และพร้อมนำเข้าสู่สายพานการผลิตภายในปี 2018  โดยตัว MOSFET นี้ใช้แผ่นทองแดงแบบบางเป็นขั้วต่อขา ทำให้สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 140 แอมป์ด้วยขนาดเพียง 5*6 มม. จึงสามารถนำไปใช้ในการลดน้ำหนักรถยนต์และลดพื้นที่ในการติดตั้งชิ้นส่วน โดยตั้งเป้าว่าหลังจากปี 2020 จะมียอดการผลิตถึง 10 ล้านหน่วยต่อเดือน เพื่อรองรับการนำไปใช้ในเครื่องจักรต่างๆ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน

โดย MOSFET ที่จะเริ่มผลิตในปี 2018 นี้ เป็น MOSFET สำหรับรถยนต์  ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการทำหน้าที่เป็นรีเลย์เพื่อป้องกันการรั่วไหล สลับแรงดัน และตัดวงจรของกระแสไฟฟ้าให้แก่พวงมาลัยไฟฟ้า(EPS) ปั๊มน้ำ วงจรมอเตอร์ และกล่อง ECU

หากเทียบ “Copper Clip” ขั้วต่อขาแบบทองแดงที่ใช้ใน MOSFET ตัวใหม่นี้ กับขั้วต่อขาแบบลวดอลูมิเนียมในแบบเดิม จะพบว่าด้วยการขยายพื้นที่ในการกระจายกระแสไฟฟ้าที่มากขึ้น ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ดีขึ้น ซึ่ง MOSFET ขนาด 5*6 มม.ในแบบเดิมสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าได้เพียง 80 แอมป์เท่านั้น อีกทั้ง MOSFET ตัวใหม่นี้ ยังมีความหนาอยู่ที่ 1 มม. ซึ่งเป็นเพียง 1 ใน 4 ของความหนาเดิมเท่านั้น

ส่วนฐานออกแบบให้ใช้ตะกั่วในการลดแรงตึงเครียดเพื่อเพิ่มความคงทน ส่วนซิลิคอนชิปถูกออกแบบใหม่ให้ทนต่อสัญญาณรบกวนมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาและผลิตขั้วต่อแผ่นทองแดงแบบเดียวกันในขนาด 10*15 มม. ที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้ 200 แอมป์ในปีถัดไป และมีแผนจะนำเสนอให้กับผู้ผลิตนำไปใช้ในระบบจัดการแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในเดือนตุลาคมนี้

Shindengen ได้พัฒนา “Copper Clip” นี้เพื่อใช้กับไดโอดหลัก สำหรับ MOSFET ในอุตสาหกรรมยานยนต์ จะถูกนำมาทดแทนรีเลย์แบบดั้งเดิมและรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาต่อยอดสำหรับใช้ในการผลิตหุ่นยนต์ เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม และเครื่องใชไฟฟ้าในครัวเรือนอีกด้วย  ซึ่งนอกจากบริษัท Shindengen แล้ว บริษัทอื่นๆ อย่าง Infineon Technologies, Renesas Electronics, และ Toshiba เอง ก็ได้เข้าแข่งขันในตลาดนี้เช่นกัน

ที่มา : Nikkan Kogyo Shimbun