ยอดขายรถยนต์สิงหาคม 2568 โต 5.38% | EV พุ่งต่อเนื่อง รถกระบะยังหด

ยอดขายรถยนต์ส.ค. 2568 โต 5.38% หนุนตลาด EV ขยายตัวต่อเนื่อง รถกระบะยังชะลอ

อัปเดตล่าสุด 23 ก.ย. 2568
  • Share :

ยอดขายรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.38% จากปีก่อน แม้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบเดือนก่อนหน้า โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังคงเป็นแรงขับสำคัญ ขณะที่รถกระบะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเข้มงวดสินเชื่อ

23 กันยายน 2568 - นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนสิงหาคม 2568 ดังต่อไปนี้

ภาพรวมยอดขายรถยนต์สิงหาคม 2568

ยอดขายรถยนต์ในไทยเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลง 3.01% จากเดือนกรกฎาคม 2568 แต่เพิ่มขึ้น 5.38% จากเดือนสิงหาคม 2567 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว รถกระบะขายได้ 10,960 คันลดลง 10.92% รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ

  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,797 คัน เท่ากับ 64.67% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 10.96% จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) มีจำนวน 9,611 คัน เท่ากับ 20.18% ของยอดขายทั้งหมด ลดลง 18.19% 
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 9,246 คัน เท่ากับ 19.42% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 26.62% 
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) มีจำนวน 465 คัน เท่ากับ 0.98% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 400%
    • รถกระบะ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) มีจำนวน 244 คัน เท่ากับ 0.51% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 100% 
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) มีจำนวน 11,231 คัน เท่ากับ 23.58% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 30.43% 
  • รถกระบะ มีจำนวน 10,960 คัน ลดลง 10.92% จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว
  • รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 63 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย 
  • รถ PPV มีจำนวน 3,576 คัน เพิ่มขึ้น  34.08% จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว
  • รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,191 คัน ลดลง 4.87% จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว
  •  รถประเภทอื่น ๆ มีจำนวน 1,035 คัน ลดลง 14.74% จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว

ยอดขายสะสม ม.ค.–ส.ค. 2568

ตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2568 มีทั้งสิ้น 399,619​ คัน เพิ่มขึ้น 8 คัน จากปี 2567 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า แยกเป็น

  •  รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 256,669 คันเท่ากับ 64.26%  ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 6.96% จากระยะเวลาเดียวกัน
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) มีจำนวน 88,222 คัน เท่ากับ 22.08% ของยอดขายทั้งหมด ลดลง 16.96% จากปีที่แล้ว
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 72,274 คัน เท่ากับ 18.09% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 51.69% จากปีที่แล้ว
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) มีจำนวน 6,136 คัน เท่ากับ 1.54% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 321.43% จากปีที่แล้ว
    • รถกระบะ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) มีจำนวน 431 คัน เท่ากับ 0.14% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 100% 
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) มีจำนวน 89,606 คัน เท่ากับ 22.42% ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้น 5.89% จากปีที่แล้ว
  • รถกระบะ มีจำนวน 95,560 คัน ลดลง 16.94% จากระยะเวลาเดียวกัน
  • รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 486 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย
  • รถกระบะ REEV มีจำนวน 6 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย
  • รถ PPV มีจำนวน 28,110 คัน เพิ่มขึ้น 14.82% จากระยะเวลาเดียวกัน
  • รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 9,727 คัน ลดลง 10.84% จากระยะเวลาเดียวกัน
  • รถประเภทอื่น ๆ มีจำนวน 9,061 คัน เพิ่มขึ้น 1.50% จากระยะเวลาเดียวกัน

เสนอแนวทางกระตุ้นตลาดรถกระบะ

แม้ตลาดรถกระบะยังเผชิญภาวะชะลอตัว แต่มีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาด อาทิ การตั้ง กองทุนค้ำประกันความเสี่ยงจากการขาดทุนกรณียึดรถกระบะ วงเงิน 2,000–5,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ส่งผลให้ยอดขายกระบะสามารถขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 30% ขณะที่ภาครัฐจะเก็บรายได้จากภาษีสรรพสามิตและ VAT เพิ่มกว่า 2,400 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่ากองทุน อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อซัพพลายเชนและเศรษฐกิจโดยรวม

สรุปประเด็นสำคัญ

  • ตั้งกองทุนค้ำประกันการขาดทุนจากการยึดรถกระบะ (วงเงิน 2,000–5,000 ล้านบาท)
  • สถาบันการเงินต้องปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ยอดขายกระบะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30%
  • รัฐเก็บภาษีสรรพสามิตและ VAT เพิ่มรวมกว่า 2,400 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินกองทุน
  • ผลบวกต่อซัพพลายเชน: ยางรถยนต์ กระจก อะไหล่ และแรงงานมีรายได้เพิ่ม
  • ส่งผลเชิงระบบต่อเศรษฐกิจ: กระตุ้นการบริโภค การลงทุน และลดหนี้ครัวเรือ

 

#ยอดขายรถยนต์2568 #ยอดขายรถยนต์ในประเทศ #กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ #สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #สอท #FTI

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH