
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย. 2568 ปรับขึ้นครั้งแรกรอบ 8 เดือน สะท้อนความหวังต่อรัฐบาลใหม่
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ทั้งในด้านเศรษฐกิจโดยรวม โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต สะท้อนความคาดหวังของผู้บริโภคต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส.ค. 2568 ลดต่อเนื่อง 7 เดือน ต่ำสุดรอบ 32 เดือน
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ค. 2568 ร่วงต่อเนื่อง ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายน 2568 ที่จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย ได้ดำเนินการโดยออกแบบสอบถามตัวอย่างจากประชาชนทั่ว ประเทศเป็นจำนวน 2,242คน แยกเป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ร้อยละ 40.2และต่างจังหวัดร้อยละ 59.8 โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย และเพศหญิง ประมาณร้อยละ 49.8 และ 50.2 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย
ปัจจัยด้านบวก
- ปัจจยัการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจนขึ้น หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 พร้อมทั้งได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29-30 กันยายน 2568 เป็ นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะหนุนความเชื่อมั่น บรรยากาศการลงทุน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบขยายเวลาคงอตัราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ 7% ต่ออีก 1 ปีโดยนับตั้งแต่วันที่1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2569 เพื่อส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
- SET Index ในเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37.56 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,236.61 จุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 เป็น 1,274.17 จุด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยทางการเมืองที่มีความชดัเจนขึ้น หลังรัฐบาลใหม่ได้ขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ มาตรการด้านกำลังซื้อ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น ในตลาดและนักลงทุน
- การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2568 มีมูลค่า 27,743.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.79% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 29,707.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15.83% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,964.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ช่วง 8 เดือนปี 2568 ส่งออกได้รวม 223,175.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.28 และมีการนำเข้ารวม 224,880.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.26 ส่งผลให้ขาดดุลการค้ารวม 1,704.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- ผลการเจรจาทางการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าลงมาเหลือ 19% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการลดลงจากภาษีนำเข้าก่อนหน้านี้ที่สูงถึง 36% การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขัน ของสินค้าส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ ให้อยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับประเทศในภูมิภาคอาเซียนและคู่แข่งอื่นๆ และช่วยให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ดี
- ระดับ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10) ปรับตัวลดลงประมาณ 0.30 และ 0.30 บาทต่อลิตร จากระดับ 32.58 และ 32.95 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ตามล าดับ มาอยู่ที่ระดับ 32.28 และ 32.65 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศยังคงทรงตัวจากเดือนที่มา โดยอยู่ที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568
- รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ประจำปี 2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผูป้ระกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องสนับสนุนการสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสามารถจองใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 2568
ปัจจัยด้านลบ
- ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย -กัมพูชา ที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงจนเกิดการสู้รบในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงก็ตาม แต่สถานการณ์ดังกล่าว ยังส่งผลให้เกิดความกังวลต่อประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา รวมทั้งบรรยากาศการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ชะงักงัน
- ราคาข้าวเปลือกเจ้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้
- ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดโดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคกลางที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร
- เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 32.454 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 เป็น 32.006 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 สะท้อนว่ามีการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ ทำให้มีความกังวลว่าจะส่งกระทบในเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
- ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันและพลังงานโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น
จากผลของการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายน 2568 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมและดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคตปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังและมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคณะรัฐมนตรีจะสามารถใช้นโยบายของรัฐเช่น โครงการคนละครึ่งพลัส กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ แม้ว่ายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าที่สหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวได้ช้าก็ตาม จึงทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 44.4 48.5 และ 59.3 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 8 โดยปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนสิงหาคม ที่อยู่ในระดับ 44.1 48.3 และ 58.0 ตามลำดับ การที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจนแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังไม่มีผลงานที่ออกมาเป็นรูปธรรมและค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 50.1 เป็น 50.7 ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้า ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 35.4 เป็น 34.4 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน จาก 57.3 มาอยู่ที่ระดับ 58.7 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นในปัจจุบัน แต่ผู้บริโภคเริ่มมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้จากนโยบายคนละครึ่งพลัสและนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะต้องตามดูสถานการณ์ต่อไปว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนถัดไปจะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่
#ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค #เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #อุตสาหกรรมไทย #MReportTH #IndustryNews
ทความยอดนิยม 10 อันดับ
- ยอดขายรถยนต์ 2567
- 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568
- คาร์บอนเครดิต คือ
- ยอดขายมอเตอร์ไซด์ 2567
- “ยานยนต์ไร้คนขับ” กับทิศทางการเติบโตในปี 2022-2045
- ยอดลงทุนปี 67 ทะลุ 1 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
- ยอดจดทะเบียนใหม่ยานยนต์ไฟฟ้า 2567
- สถิติส่งออกกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนไทยปี 2567
- เทคโนโลยีในงานโลจิสติกส์ มีอะไรบ้าง
- 5 เทคนิค “มือใหม่ใช้เครื่อง CNC”
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH