ส่งออกไทย 2566 เดือนมีนาคม (มี.ค.) กระทรวงพาณิชย์

ส่งออกไทย 2566 เดือน มี.ค. หดตัว 4.2% ลดต่อเนื่องเดือนที่ 6

อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 2566
  • Share :
  • 29,236 Reads   

สถานการณ์ส่งออกในเดือนมีนาคม 2566 ไทยทำตัวเลขส่งออกอยู่ที่ระดับ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 4.2% เมี่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6

วันที่ 26 เมษายน 2566 นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการส่งออกเดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่า 27,654.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (942,939 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 4.2 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 0.01 โดยการส่งออกเดือนนี้หดตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ทำมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี (23,904.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) และมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 12 เดือน การส่งออกในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงถือได้ว่าท่าได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมส่าคัญหลายรายการ มีสัญญาณที่ดีจากการกลับมาเป็นบวกในตลาดที่มีสัดส่วนส่าคัญต่อการส่งออกของไทย อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย อีกทั้งยังกลับมาเกินดุลการค้าในรอบ 12 เดือน

อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากภาวะเงินเฟ้อ ที่แม้จะผ่อนคลายลงแต่ยังคงทรงตัวในระดับสูง นอกจากนี้การเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมายังคงส่งผลกระทบต่อภาคธนาคารภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่การย่อตัวลงของราคาน้่ามันตามอุปสงค์ตลาดโลกที่ชะลอตัว ได้ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันหดตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งออกไทย ไตรมาสแรก หดตัวร้อยละ 4.5 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 0.9

สรุปมูลค่าการค้ารวม

มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมีนาคม 2566 การส่งออก มีมูลค่า 27,654.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 24,935.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.1 ดุลการค้า เกินดุล 2,718.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวมไตรมาสแรกของปี 2566 การส่งออก มีมูลค่า 70,280.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.5 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 73,324.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 0.5 ดุลการค้า ไตรมาสแรกของปี 2566 ขาดดุล 3,044.2 ล้านเหรียญสหรัฐ

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร

มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 4.2 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน โดยเป็นการขยายตัวทั้งหมวดสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.2 และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ 7.1 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 73.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และลิเบีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 5.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 7.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอิรัก แอฟริกาใต้แองโกลา เซเนกัล และแทนซาเนีย) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 94.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 6.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย เมียนมา เกาหลีใต้ กัมพูชา และจีน) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 13.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม จีน ลาว มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 47.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์) 

สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา หดตัวร้อยละ 41.1 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และสหรัฐฯ แต่ขยายตัวในตลาดโรมาเนีย และสหราชอาณาจักร) อาหารสัตว์เลี้ยง หดตัวร้อยละ 25.0 หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย และอิตาลี แต่ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ลาว กัมพูชา บังกลาเทศ และรัสเซีย) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 17.8 หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดจีน กัมพูชา ไต้หวัน ลาว และเมียนมา) ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.9

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.9 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน แม้ว่าการส่งออกภาพรวมของหมวดหดตัว แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 1.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 16.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิตาลี ฝรั่งเศส อินเดีย และอินโดนีเซีย) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 66.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย แคนาดา และจีน) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 27.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เม็กซิโก ฮ่องกง และแคนาดา) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 5.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 55.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เยอรมนีและมาเลเซีย)

สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 14.2 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม กัมพูชา อินเดีย และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดลาว สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และอียิปต์) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 6.0 หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเม็กซิโก) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 13.7 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ 3.5 กลับมาหดตัวอีกครั้ง (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไต้หวัน และสิงคโปร์) ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.8

ตลาดส่งออกสำคัญ

การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น โดยหดตัวน้อยลงในหลายตลาด อาทิ จีน อาเซียน (5) และ CLMV และบางตลาดสำคัญเริ่มกลับมาขยายตัว อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และรัสเซียและกลุ่ม CIS สะท้อนว่าอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น แม้ว่าจะยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว

ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 0.8 หดตัวในตลาดจีน ร้อยละ 3.9 CLMV ร้อยละ 3.5 อาเซียน (5) ร้อยละ 2.1 และสหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 7.3 ขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 1.7 และ ร้อยละ 10.2 ตามล่าดับ (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 3.4 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ร้อยละ 6.9 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 23.3 แต่ขยายตัวในตลาดรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 228.0 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 3.0 แอฟริกา ร้อยละ 2.1 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 5.9 และ สหราชอาณาจักร ร้อยละ 5.8 (3) ตลาดอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 39.5 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ หดตัวร้อยละ 43.5

 

แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป

สำหรับแนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในแต่ละภูมิภาคของโลกยังอยู่ในระดับสูง ภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินยังเป็นปัจจัยบั่นทอนต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รวมไปถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อผันผวนของราคาพลังงาน

อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ในไตรมาสแรกของปี 2566 ทั้งการรื้อฟื้นความสัมพันธ์และการเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และการทำความตกลงทางการค้าในระดับท้องถิ่นกับตลาดศักยภาพในจีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ช่วยสนับสนุนการนำรายได้เข้าสู่ประเทศ และคาดว่าจะช่วยประคับประคองการส่งออกของไทยให้ผ่านพ้นภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH