7 ผู้ผลิต Machine Tools ญี่ปุ่น รายงานผลประกอบการครึ่งปีงบประมาณ 2018

อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 2561
  • Share :
  • 386 Reads   

รายงานยอดสั่ง Machine Tools ประจำครึ่งแรกปีงบประมาณ 2018 (เมษายน - กันยายน) จาก 7 ผู้ผลิตรายใหญ่ค่ายญี่ปุ่น ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ระบุว่า ทั้ง 7 ค่าย มียอดสั่งรวมแล้วปิดที่ 270,876 ล้านเยน สูงกว่าครึ่งแรกปีงบประมาณ 2017 ถึง 22.2% ในขณะที่ยอดเฉพาะเดือนกันยายนปิดที่ 45,896 ล้านเยน สูงกว่าครึ่งแรกปีงบประมาณ 2017 ถึง 14.4% ซึ่งมีออเดอร์จากประเทศจีนลดลง หรือถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากแนวทางการลงทุนที่มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสงครามการค้าระหว่างจีน - สหรัฐฯ จะไม่ส่งอิทธิพลต่อประเทศอื่นนอกจากจีนมากไปกว่านี้ ส่วนภายในประเทศญี่ปุ่นเองยังคงมีออเดอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ Okuma ที่สามารถทำลายสถิติยอดออเดอร์รายเดือนของบริษัทตนได้สำเร็จ

แผนกฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) บริษัท Makino กล่าวแสดงความเห็นว่าสงครามการค้าระหว่างจีน - สหรัฐฯ เป็นเรื่องที่เลวร้าย และ “ส่งผลให้มีการลงทุนถูกเลื่อน หรือลดปริมาณเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก” ในขณะที่แผนกประชาสัมพันธ์บริษัท Tsugami แสดงความเห็นในทิศทางใกล้เคียงกัน และกล่าวเพิ่มว่า “เรากำลังอยู่ในช่วงการปรับตัว” ส่วนแผนกประชาสัมพันธ์ JTEKT ได้แสดงความเห็นเดียวกันว่า “มีลูกค้าที่แจ้งขอชะลอการจัดส่งสินค้า เพื่อดูแนวโน้มตลาดก่อน” เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมนั้น ยอดออเดอร์จากประเทศจีน แม้ประสบปัญหา แต่ก็ไม่ได้ลดลงมากนัก และยังอยู่ในเกณฑ์สูงเช่นเดียวกับที่ผ่านมา โดยฝ่ายวางแผนและบริหารองค์กร บริษัท Mitsubishi Heavy Industries รายงานว่าบริษัทตนได้รับผลกระทบด้านยอดออเดอร์น้อยมาก และยังคงมียอดสั่งจากในจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ยอดรวมทั่วโลกนั้น ทั้ง 7 ค่ายรายงานตรงกันว่า แรงผลักดันหลักมาจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งเป็นยอดสั่งจากอุตสาหกรรมยานยนต์ เซมิคอนดัคเตอร์ และหุ่นยนต์ ที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งหลายประเทศยังได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐอีกด้วย ซึ่งในเดือนนี้เอง ที่ Okuma ได้ทำลายสถิติยอดสั่งรายเดือนสูงสุดของบริษัทตน ด้วยออเดอร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านเยน และ OKK ที่รายงานว่า “ยอดจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนี้”

จากรายงาน พบว่าแม้จะมีความเห็นในเชิงลบต่อสงครามการค้า แต่ตัวเลขในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2018 ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ได้ก่อให้เกิดความกังวลที่มากขึ้นว่า อนาคตจะเป็นเช่นไรต่อไป