ไบเดนลั่น! "รถยนต์ไฟฟ้าครึ่งตลาด" ภายใน 2030

อัปเดตล่าสุด 11 ส.ค. 2564

หลังจากฟากเอเชียและยุโรปได้ประกาศขยับเป้าหมายรถยนต์ไฟฟ้าให้ใกล้เข้ามาเร็วกว่าเดิม พร้อมไปกับการเร่งสร้างโรงงานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ฝั่งสหรัฐฯ ไม่รอช้า ประธานาธิบดีไบเดน ออกหนังสือคำสั่ง ต้องเป้าสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 50% ภายในปี 2030

วิกฤตซัพพลายเชน ท้าทายการผลิตยานยนต์สหรัฐฯ ไตรมาส 2 ดิ่ง 22.5%

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2021 นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ออกหนังสือคำสั่งประธานาธิบดีหรือ Executive Order ถึงหน่วยงานรัฐบาลกลาง ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EV) รวมถึงรถเซลล์พลังงานเชื้อเพลิง (Fuel Cell Vehicles: FCV) และรถไฮบริด (Hybrid Vehicles: HV) ไว้ที่ 50% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในปี 2030

Advertisement

การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขยายแผนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ด้วยการกำหนดเป้าหมายการปล่อยมลพิษจากรถยนต์และรถบรรทุก และพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ เพื่อคงความเป็นผู้นำในตลาดทัดเทียมกับจีนได้

ประธานาธิบดีไบเดน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลงทุนเป็นวงเงินมูลค่า 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรม EV และอีก 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภค รวมถึง 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย โดยนายไบเดนได้กล่าวไว้ทีทำเนียบขาวว่า

“ในวันนี้ ทั้งภาคอุตสาหกรรม แรงงาน และเหล่าผู้นำในภูมิภาค ต่างทำงานร่วมกันเพื่อเขียนบทถัดไปของอเมริกัน และในศตวรรษนี้ เราก็กำลังอยู่ในช่วงการแข่งขันกับจีน และประเทศอื่น ๆ ซึ่งหากเราต้องการเอาชนะ เราก็ต้องมั่นใจให้ได้ว่าอนาคตจะเกิดขึ้นในอเมริกา ”

โดยฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอมาตรฐานด้านการปล่อยก๊าซมลพิษของยานยนต์ใหม่ โดยจะเริ่มต้นที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 10% ภายในปี 2023 จนถึง 2026 ส่วนหลังจากปี 2026 นายไบเดนตั้งใจจะออกมาตรการให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีการควบคุมการปล่อยก๊าซมลพิษในยานยนต์ทุกขนาด

“ลดคาร์บอน” คลื่นลูกใหม่ ท้าทายธุรกิจโลก

ค่ายรถมีความเห็นอย่างไรบ้าง?

การประกาศตัวเลขเป้าหมายในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตยานยนต์ค่ายสหรัฐฯ และค่ายอื่น ๆ จากต่างประเทศเป็นอย่างดี เนื่องจากคำสั่งในครั้งนี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับให้ทุกค่ายต้องปฏิบัติตาม และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

อีกสาเหตุหนึ่ง คือการที่เป้าหมายของนายไบเดนสอดคล้องกับตัวเลขของค่ายรถที่ออกมาก่อนหน้านี้ เช่น General Motors และ Stellantis ซึ่งประกาศร่วมกันเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2021 ว่าจะตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่ 40 - 50% ในปี 2030

Hyundai เป็นอีกค่ายที่กล่าวสนับสนุนเป้าหมายยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ 40 - 50% ในปี 2030

Nissan เอง ก็มีการตั้งเป้าหมายไว้ที่ 40% ในปี 2030 เช่นเดียวกัน

ส่วน BMW, Honda, Volkswagen, Ford, และ Volvo ได้กล่าวสนับสนุนแนวทางของประธานาธิบดีไบเดนในงานแถลงข่าว และเรียกร้องให้รัฐบาลต้องมีมาตรการกระตุ้นแรงจูงใจในการซื้ออย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นแล้วยอดขายก็ไม่อาจไปถึงเป้าหมายนี้ได้

นอกจากค่ายรถแล้ว วุฒิสมาชิก Gary Peters จากรัฐมิชิแกนเห็นด้วยกับการตัดสินใจที่จะไม่กำหนดเส้นตายที่ชัดเจนสำหรับการเลิกใช้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป โดยเล็งเห็นว่าความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม ก็ได้ยอมรับว่ารัฐบาลจำเป็นต้องตั้งเป้าหมายในเรื่องนี้เอาไว้

นอกจากค่ายรถ ยังมีผู้เล่นรายใหม่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอีกมาก มีบริษัทไหนบ้าง อ่านเลย

เสียงตอบรับอื่น ๆ

ด้วยการที่ตัวเลขเป้าหมายที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ทำให้สื่อหลายรายแสดงความสงสัยว่าจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ พร้อมใจกันเดินหน้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ อีกทั้งล่าสุด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศของสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 ยังมีสัดส่วนเพียง 3.8% จากยอดขายรถยนต์ทั้งหมดอีกด้วย

ส่วนภาคแรงงานได้แสดงความกังวลต่อการประกาศในครั้งนี้ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนชิ้นส่วนน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ในขณะที่โรงงานผลิตยานยนต์ และแบตเตอรี่ยานยนต์จำเป็นต้องปรับปรุงสายการผลิตให้ก้าวหน้าขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าจำนวนพนักงานในโรงงานแต่ละแห่งก็จะยิ่งน้อยลงกว่าที่ผ่านมา

Brian Rothenberg ประธานสหภาพอุตสาหกรรมยานยนต์และแรงงาน (United Auto Workers) แสดงความเห็นว่าการออกหนังสือคำสั่งที่ไม่ได้กำหนดตัวเลขและเส้นตายชัดเจนนั้นทำให้การเดินหน้าตามคำสั่งไม่ใช่เรื่องยากมากนัก แต่การเดินหน้าครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของแรงงานและชนชั้นกลางของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ สื่อค่ายตะวันตกหลายรายแสดงความเห็นว่าหนังสือคำสั่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่เอเชียและยุโรปได้ประกาศเป้าหมายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ที่มาถึงเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านโรงงานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นที่น่าจับตาว่า สหรัฐฯ จะมีการเดินหน้าในอุตสาหกรรมนี้ต่ออย่างไร