Intel เตรียมปลดพนักงานกว่า 20% ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ภายใต้ซีอีโอคนใหม่ Tan Lip-Bu

Intel เตรียมปลดพนักงานกว่า 20% สัปดาห์นี้ ภายใต้แผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของซีอีโอคนใหม่

อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 2568

การปลดพนักงานครั้งนี้เป็นความพยายามของซีอีโอคนใหม่ Tan Lip-Bu ที่ต้องการลดขั้นตอนการบริหาร ฟื้นฟูวัฒนธรรมวิศวกรรม และพลิกฟื้นสถานะของ Intel ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

Advertisement

23 เมษายน 2568 – บลูมเบิร์กรายงาน Intel เตรียมประกาศแผนการปลดพนักงานมากกว่า 20% ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งนับเป็นการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญภายใต้การนำของ Tan Lip-Bu ซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดขั้นตอนการบริหารที่เทอะทะ และฟื้นฟูวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม

แหล่งข่าวใกล้ชิดซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่าการปลดพนักงานครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Intel เคยปลดพนักงานไปแล้วกว่า 15,000 คนในปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานเหลือประมาณ 108,900 คน ลดลงจาก 124,800 คนในปี 2566

Intel ยังคงประสบความยากลำบากในการฟื้นตัวจากการสูญเสียความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะในตลาดชิปประมวลผล AI ซึ่งคู่แข่งอย่าง Nvidia แซงหน้าไปไกล จนทำให้ยอดขายของ Intel ลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน

Tan ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหาร Cadence Design Systems วางแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมุ่งตัดสินทรัพย์ที่ไม่ใช่แกนหลักของธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตชิป ล่าสุด Intel ตกลงขายหุ้น 51% ในธุรกิจ Altera ให้กับ Silver Lake ซึ่งเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของแผนฟื้นฟูนี้

นอกจากนี้ Tan ยังกล่าวในงาน Intel Vision ว่าบริษัทจำเป็นต้องดึงดูดวิศวกรฝีมือดีเข้ามาใหม่ ปรับปรุงงบดุล และพัฒนากระบวนการผลิตให้ตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าเขาจะเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกเพิ่มเติมในการแถลงผลประกอบการไตรมาสแรกในวันพฤหัสบดีนี้

การเปลี่ยนผ่านผู้นำครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการปลด Pat Gelsinger ซีอีโอคนก่อน ที่พยายามพลิกฟื้นธุรกิจด้วยการขยายโรงงานผลิตชิปทั่วโลก แต่ต้องเผชิญความล่าช้า โดยเฉพาะโครงการโรงงานขนาดใหญ่ในรัฐโอไฮโอ ที่เคยถูกวางให้เป็นศูนย์กลางการผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในขณะเดียวกัน แผนความร่วมมือกับ TSMC ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่เกิดขึ้นจริง หลังผู้บริหารของ TSMC ออกมายืนยันว่าจะมุ่งโฟกัสกับธุรกิจของตนเองเท่านั้น

Intel ซึ่งเคยครองตลาดชิปคอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลมาอย่างยาวนาน กลับพลาดโอกาสในคลื่นเทคโนโลยี AI ทำให้ต้องเสียตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมให้กับ Nvidia ที่กลายเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

Tan ยอมรับว่า "การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เขาเชื่อมั่นว่า Intel จะสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง"