ในขณะที่ไทยปฏิเสธเรื่องการตอบโต้กับทางสหรัฐฯ เรื่องแผนการขึ้นอัตราภาษีการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่ประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาให้สัมภาษณ์ และเลือกที่จะจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดแทน เนื่องจากยังไม่มีประกาศออกมาชัดเจน ทางฝ่ายสหภาพยุโรป (อียู) กลับประกาศออกมาอย่างโจ้งแจ้งว่าพร้อมทำสงครามโง่ ๆ กับสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ โดยจะออกมาตรการตอบโต้ต่อสินค้าของสหรัฐฯ ทั้งหลาย

การตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนี้จะส่งผลกระทบต่อแทบทุกประเทศ และประเทศที่ได้รับผลกระทบนั้นก็จำเป็นจะต้องปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ สุดท้ายแล้วทุกฝ่ายก็จะได้รับผลกระทบกันไปเป็นทอด ๆ เนื่องจากสินค้าส่งออกของแต่ละประเทศได้รับผลกระทบ ผู้บริโภคเองก็จะต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาษีที่เพิ่มขึ้นด้วย

โดยทางอียูเผยว่าการตอบโต้กับทางสหรัฐฯ โดยใช้บัญชีสินค้าสหรัฐฯ นี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว (7 มีนาคม 2561) บัญชีดังกล่าวจะรวมทั้งเหล็ก และผลิตภัณฑ์การเกษตรของสหรัฐ รวมไปถึงผลิตภัณณ์อื่น ๆ อย่างเช่น เบอร์เบิน วิสกี้ เนยถั่ว แครนเบอร์รีและน้ำส้ม ทั้งนี้อียูเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีการกำหนดภาษีสินค้าเหล่านี้เป็นเท่าไหร่ ทำให้ไม่แน่ชัดว่าจะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามอนุมัติการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% โดยยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก รวมทั้งประเทศพันธมิตรบางประเทศแล้ว โฆษกทำเนียบขาวเองก็ระบุว่า มาตรการขึ้นกำแพงภาษีอาจส่งผลแตกต่างกันต่อแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศนั้น ๆ และกฎหมายการขึ้นกำแพงภาษีนี้จะยังไม่มีผลในทันที ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 15 - 30 วันก่อนที่การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจะมีผลใช้ได้จริง

ตอนนี้ทางสหรัฐฯ มีประกาศออกมาชัดเจนแล้ว ทางอียูเองก็ออกมาประกาศจุดยืนแล้วเช่นกัน แล้วกระทรวงพาณิชย์ของไทยเองที่บอกว่าจะจับตามองจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรก็น่าติดตามดูไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว