กกร. คงเป้า GDP ขยายตัว 3 - 3.5% วอนรัฐลดค่าไฟ งวด พ.ค - ส.ค.

กกร. คง GDP ปี'66 ขยายตัว 3 - 3.5% วอนรัฐลดค่าไฟ งวด พ.ค - ส.ค.

อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 2566
  • Share :
  • 1,156 Reads   

กกร. คงตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2566 เพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบ 3.0 - 3.5% ส่งออกขยายตัว 1 - 2% ห่วงต้นทุนผู้ผลิตยังอยู่ระดับสูง วอนรัฐช่วยลดค่าไฟ งวดที่ 2 เดือน พ.ค - ส.ค. 66

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธาน กกร. นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง สมาคมธนาคารไทย เป็นประธานร่วม เปิดเผยภายหลังการประชุม ณ ห้อง Ballroom ชั้น G โรงแรมอนันตรา สยาม ราชดำริ กรุงเทพฯ ว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดเริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยดัชนีทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งในฝั่งภาคการผลิตและภาคบริการกลับมาขยายตัวได้ในเดือนมกราคม โดยเฉพาะในภาคบริการที่สะท้อนการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน สอดคล้องกับการประเมินล่าสุดของ IMF ที่คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ 5.2% ในปี 2566 สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 4.4% ขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มเติบโต 2.9% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.7% ทั้งนี้ คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ประกอบกับกิจกรรมการผลิตที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจะช่วยพยุงภาคการส่งออกสินค้าในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง

ในด้านของค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วและมากกว่าสกุลภูมิภาค แม้ว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน อาทิ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่กลับมาเกินดุลในไตรมาสที่ 4/2565 มุมมองของนักลงทุนที่เป็นบวกต่อการเปิดประเทศของจีน และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าหลังจากตลาดคลายความกังวลต่อการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่เงินบาทแข็งค่าราว 15% ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และแข็งค่าถึง 5% ในช่วงเดือนมกราคมซึ่งมากและเร็วกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคอย่างชัดเจน เป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในภาวะที่ความต้องการสินค้าชะลอตัว    

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวแต่มีความเสี่ยงจากภาคการส่งออก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจมากกว่า 22.5 ล้านคนที่ประเมินไว้เดิม จากนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 2 อย่างไรตาม การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงต้นปี และต้องติดตามปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการแข็งค่าของค่าเงินบาท การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งแม้ว่าจีนจะฟื้นตัวได้เร็วแต่อาจไม่เพียงพอที่จะทดแทนความต้องการสินค้าจากประเทศหลักอื่น ๆ

 

โดยที่ประชุม กกร. ยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.0-3.5% ขณะที่การส่งออกประเมินว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.0% ถึง 2.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7 ถึง 3.2% ตามเดิม
 
 
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ของ กกร.
 
%YoY

ปี 2565

(ณ ธ.ค. 65)

ปี 2566

(ณ ม.ค. 66)

ปี 2566

(ณ ก.พ. 66)

GDP  3.2 3.0 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5
ส่งออก   5.5* 1.0 ถึง 2.0 1.0 ถึง 2.0
เงินเฟ้อ   6.1* 2.7 ถึง 3.2 2.7 ถึง 3.2

หมายเหตุ: * ตัวเลขจริง

โดยที่ประชุมยังได้แสดงความห่วงใยในเรื่องต้นทุนการผลิตที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะราคาค่าไฟฟ้า รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องท่ามกลางค่าเงินบาทที่แข็งค่า อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ภาครัฐต้องมีมาตรการสนับสนุนเพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานให้เพียงพอรองรับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังจากจีนเปิดประเทศ

สืบเนื่องจากการหารือร่วมกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พร้อมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมาภาคเอกชนได้ช่วยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยใช้พลังงานเชื้อเพลิงอื่นมาทดแทนไปส่วนหนึ่งแล้ว เพื่อทำให้การคำณวนค่า Ft ในรอบถัดไปมีอัตราที่ลดลง โดยที่ประชุมมีความคิดเห็นดังนี้

1. กกร.เสนอให้ปรับลดค่า Ft งวดที่ 2 เดือน พ.ค – สค. 66 เนื่องจากมีปัจจัยหนุนในด้านการเพิ่มขึ้นของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และราคาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มลดลง  

2. เห็นชอบในแนวทางการจัดตั้ง กรอ. พลังงาน และให้สำนักงาน กกร. จัดทำโครงสร้างรูปแบบการทำงาน เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบเพื่อพิจารณาจัดตั้งต่อไป และระหว่างการจัดตั้ง กรอ. พลังงาน ขอให้มีคณะทำงาน Task Force ด้านพลังงาน (เฉพาะกิจ) เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและสร้างความเข้าใจในด้านพลังงาน รวมถึงหารือมาตรการระยะสั้น-กลาง-ยาว โดยมีตัวแทน 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) สำนักกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.)

 

#เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน #กกร. #หอการค้าไทย #สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย #สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #สมาคมธนาคารไทย

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH