กกร. คงเป้า GDP ปี'66 โต 3.0 - 3.5% หั่นส่งออกติดลบ 2% วอนเร่งตั้งรัฐบาลผลักดันการใช้จ่ายภาครัฐ

กกร. คง GDP ปี'66 ขยายตัว 3.0 - 3.5% ห่วงตั้งรัฐบาลล่าช้า - ภัยแล้ง ฉุดเศรษฐกิจทรุดหนัก

อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 2566
  • Share :
  • 12,866 Reads   

กกร. คงตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.0 - 3.5% ส่งออกหดตัว 2% เงินเฟ้อลดลงอยู่ในกรอบ 2.2 - 2.7% ห่วงตั้งรัฐบาลล่าช้า - ส่งออกชะลอ - ภัยแล้ง ฉุดเศรษฐกิจไทยทรุดหนักรอบด้าน

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนสิงหาคม 2566 โดยมี นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธาน กกร. นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ร่วมในการแถลงข่าว เปิดเผยภายหลังการประชุม ณ ห้องประชุม 109 BCFG ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง เศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีเผชิญผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรป และความกังวลเงินเฟ้อ ส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศประเมินการเติบโตเศรษฐกิจโลกเพียง 3% สำหรับปีนี้ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีต ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มแผ่วลงสะท้อนจากจีดีพีไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวเพียง 6.3% ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 7.3% และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่เป็นผลมากนัก ดังนั้น ภาคการส่งออกสินค้าของไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้

เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปียังมีความท้าทายสูง แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมในปีนี้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวเป็นไปตามคาดที่ 29-30 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวยังต่ำอยู่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเต็มที่ ทำให้การฟื้นตัวของบางจังหวัดท่องเที่ยวยังช้า ขณะที่แรงส่งต่อเศรษฐกิจจากอุปสงค์ภายในประเทศเผชิญปัจจัยท้าทายมากขึ้น จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยต่อคนยังอยู่ต่ำกว่าปี 2562 ภาคครัวเรือนยังมีความกังวลต่อภาระค่าครองชีพ และห่วงว่าเศรษฐกิจจะถดถอย ซึ่งมากกว่าประเทศอื่น ประกอบกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับลดลง มีความกังวลต่อความยืดเยื้อของสถานการณ์ทางการเมือง การทำงบประมาณรายจ่ายของรัฐ และการชะลอตัวของการส่งออก ที่ประชุมกกร.จึงมีความเป็นห่วง และต้องการเห็นการเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่โดยเร็ว

ในส่วนของปัญหาภัยแล้งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นมากกว่าคาด ปริมาณน้ำฝนสะสมในช่วง ม.ค.-ก.ค. 66 ต่ำกว่าระดับปกติในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปกติถึง 40% เมื่อพิจารณาปริมาณน้ำในเขื่อนใช้การได้ ณ เดือนกรกฎาคม 2566 พบว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนในอยู่ในระดับวิกฤตใน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก โดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันตกมีปริมาณน้ำใช้การได้ใกล้เคียงกับปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่ไทยเผชิญภัยแล้งรุนแรง ประเมินว่าภัยแล้งอาจสร้างมูลค่าความเสียหายสูงถึง 5.3 หมื่นล้านบาท จึงต้องให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและผลกระทบต่อภาคการเกษตรในช่วงปลายปี 66 ถึงครึ่งแรกของปี 67

 

โดยที่ประชุม กกร. คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงเติบโตที่ประมาณ 3.0% ถึง 3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้ และประเมินว่ามูลค่าการส่งออกมีโอกาสหดตัวในกรอบ -2.0% ถึง 0.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่ายังอยู่ในกรอบ 2.2 ถึง 2.7%
 
 
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ของ กกร.
 
%YoY

ปี 2566

(ณ มิ.ย. 66)

ปี 2566

(ณ ก.ค. 66)

ปี 2566

(ณ ส.ค. 66)

GDP  3.0 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5
ส่งออก -1.0 ถึง 0.0 -2.0 ถึง 0.0 -2.0 ถึง 0.0
เงินเฟ้อ 2.7 ถึง 3.2 2.2 ถึง 2.7 2.2 ถึง 2.7

 

จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยล่าสุดระบุว่า ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินโดยเฉลี่ยครอบครัวละ 5.59 แสนบาท สูงสุดในรอบ 15 ปี และมีจำนวนถึง 54% ที่มีหนี้สูงกว่ารายได้ โดยพบว่า เป็นหนี้นอกระบบสูงถึง 19.8% ของหนี้ทั้งหมด ที่ประชุมกกร.มองว่า ควรมีการผลักดันอย่างจริงจังให้นำข้อมูลหนี้สหกรณ์และการประมาณการหนี้นอกระบบที่เชื่อถือได้ รวบรวมไว้ที่ศูนย์ข้อมูลหนี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมของข้อมูลที่ถูกต้อง นำไปสู่มาตรการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่แท้จริง และมีมาตรการที่ตรงจุด ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องรายได้ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาโดยองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ

จากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ภาคเอกชนมีความท้าทายทั้งด้านรายได้และเรื่องต้นทุน ที่ประชุม กกร. เสนอให้พิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาค่าครองชีพและต้นทุนในการดำรงชีพในภาคประชาชน ที่สะท้อนมาจากราคาอาหารสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาปรับเพิ่มสูงขึ้น และอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก จากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน อาทิ ภาวะภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน อาจทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ความเสี่ยงโรคระบาดในปศุสัตว์จากสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงราคาพลังงานที่ยังผันผวน กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐดูแลต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้าตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ปุ๋ย และอาหารสัตว์ รวมถึง ต้นทุนด้านอื่นๆ ให้กับผู้ประกอบการ

กกร. ได้มีการหารือถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพื่อใช้ประโยชน์จาก พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ.2562 ได้อย่างเต็มที่ โดยคณะทำงาน Ease of Doing Business ของ กกร.  จะเข้าไปทำงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร. )ในการเพิ่มการใช้ Paperless เพื่อขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยศึกษาจากโครงการนำร่องของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

นอกจากนี้ กกร. ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 โดยภาครัฐรับจัดทำ Water Balance ของแต่ละอ่างเก็บน้ำใหม่ และทบทวนแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า โดยเฉพาะอ่างฯ บางพระ อ่างฯ หนองปลาไหล และอ่างฯ ประแสร์ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากเอลนีโญ ที่มี cycle ยาวนานและผันผวนมากขึ้น นอกจากนี้ กกร. ได้นำเสนอให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นมาตรการสร้างความมั่นคงระยะยาวที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน และขอให้ทบทวนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยเฉพาะการพัฒนาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ EEC และพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้ การดำเนินการในพื้นที่ EEC (EEC sandbox) ที่มีกฎหมายเฉพาะพื้นที่ ต้องทำให้เป็นรูปธรรม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆของประเทศได้ต่อไป ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องนี้ จะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำและความรุนแรงของปัญหาหนี้บนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ยังพึ่งพาภาคเกษตร

อนึ่ง กกร. ร่วมมือกับสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ -ม.หอการค้า เปิดสมัครชิงสุดยอดซีอีโอ 2566 เดินหน้าโครงการคัดเลือกสุดยอดผู้นำ CEO Econmass Awards 2023 เปิดรับสมัครบริษัทรุ่นกลาง-เอสเอ็มอี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโมเดลต้นแบบผู้นำองค์กรภาคธุรกิจที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างแรงกระตุ้นในสังคมในการดำเนินธุรกิจที่ดี ประเภทรางวัล ประกอบด้วย 18 รางวัล คือ 

1. สุดยอด CEO รุ่นใหญ่ 8 สาขา และคัดมาเป็น The Best CEO รุ่นใหญ่ 1 สาขา 
2. สุดยอด CEO รุ่นกลาง 2 สาขา และคัดมาเป็น The Best CEO รุ่นกลาง 1 สาขา 
3. สุดยอด CEO SME 4 สาขาและคัดเลือก The Best CEO SME 1 สาขา 
4. สุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน 1 รางวัล

เริ่มรับสมัครตั้งแต่วันที่ 2-31 ส.ค. 2566 โดยผู้สนใจสามารถ ติดตามรายละเอียดโครงการ เพิ่มเติมที่ Facebook คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน - กกร. และเว็บไซต์ www.jsccib.org และ Facebook สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เว็บไซต์ www.econmass.com หรือ แอดไลน์ @ceoeconmassawards หรือโทร. 085-5874356 , 063-159-2423 

 

#เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน #กกร. #หอการค้าไทย #สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย #สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #สมาคมธนาคารไทย

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH