บทวิเคราะห์เชิงนโยบาย กรณีศึกษา: ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) กับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

บทวิเคราะห์เชิงนโยบาย กรณีศึกษา: ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) กับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 2568
  • Share :

อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) อย่างไร

ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญและมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระดับโลก คือ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้หลักจากการส่งออกของหลายประเทศ แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยี การจ้างงาน รวมถึงยังเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น ดังนั้น การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการค้าในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

จากข้อมูลประเทศนำเข้าและส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สูงสุด 10 อันดับแรก ในปี 2021 - 2023 (ภาพที่ 1 - 6) พบว่า แม้จะมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2021 - 2022 แต่ในปี 2023 ทั้งมูลค่าการนำเข้าและส่งออกทั่วโลกกลับหดตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยทั้งมูลค่าการนำเข้าและส่งออกลดลงร้อยละ 4.69 และร้อยละ 3.81 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะชะลอตัวของการค้าโลกในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

จากข้อมูลโครงสร้างตลาดของการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2023 พบว่า ตลาดยังคงกระจุกตัวในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้าสูงสุดที่ร้อยละ 15.11 และ 14.39 ตามลำดับ และแม้ว่าภาพรวมมูลค่าการนำเข้าทั่วโลกจะลดลงจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม แต่บางประเทศอย่างเยอรมนี เม็กซิโก รวมถึงไทย ยังคงมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าในระดับบวก เช่น ไทยมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.25 ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการภายในประเทศและบทบาทที่เพิ่มขึ้นในห่วงโซ่อุปทานภูมิภาคในช่วงเวลาที่ตลาดโลกชะลอตัว

ขณะที่โครงสร้างตลาดของการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ยังคงกระจุกตัวอยู่ในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ โดยเฉพาะจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ร้อยละ 27.94 ในปี 2023 สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของจีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าไปยังตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของประเทศผู้ส่งออกรายสำคัญอื่น ๆ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และสหรัฐฯ นั้น ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดไว้ได้ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ส่วนไทยนั้น สามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ในระดับบวกที่ร้อยละ 0.72 สะท้อนถึงศักยภาพในการขยายตัวและโอกาสของไทยในโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนฐานการผลิตจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ไปยังฐานการผลิตในภูมิภาคอื่น ๆ

ในการศึกษานี้ ใช้ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) มูลค่าการนำเข้าและมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่าง ๆ โดยเป็นชุดข้อมูลอนุกรมเวลา (Time Series Data) รายปีตั้งแต่ปี 2014 - 2023 รวมระยะเวลา 10 ปี และข้อมูลตัดขวาง (Cross-Sectional Data) ครอบคลุม 110 ประเทศ ซึ่งข้อมูลมูลค่า GDP ได้เก็บรวบรวมจาก World Bank และข้อมูลมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่าง ๆ ได้เก็บรวบรวมจาก Global Trade Atlas และทำการวิเคราะห์โดยใช้วิธีโมเดลแบบผลกระทบคงที่ (Fixed Effects Model) เพื่อควบคุมความแตกต่างเชิงโครงสร้างของแต่ละประเทศที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลาและไม่สามารถสังเกตได้ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อค่าของตัวแปรตาม โดยวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ผลของการนำเข้าและส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

โดยที่ lnGDPit = ค่า Natural Logarithm ของมูลค่า GDP ของประเทศ i ณ เวลา t มีหน่วยเป็น
   ล้านดอลลาร์สหรัฐ (Mil.USD)
lnImportit = ค่า Natural Logarithm ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและ
   อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ i ณ เวลา t มีหน่วยเป็นล้านดอลลาร์สหรัฐ (Mil.USD)
lnExportit = ค่า Natural Logarithm ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและ
   อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ i ณ เวลา t มีหน่วยเป็นล้านดอลลาร์สหรัฐ (Mil.USD)
Yeart = ค่าปี ค.ศ. (ปี 2014 - 2023)
εit = ค่าความคาดเคลื่อนของประเทศ i ณ เวลา t (Error Term)
 
จากการวิเคราะห์โดยใช้วิธี Fixed Effects Model แสดงผลได้ดังตารางที่ 1 
 
ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์โดยใช้วิธี Fixed Effects Model
 
lnGDPit Coefficient Std. Err. t P-value
lnImportit 0.2010 0.0190 10.59 0.000*
lnExportit 0.0293 0.0096 3.06 0.002*
Yeart 0.0225 0.0016 14.33 0.000*
R-squared Overall = 0.8030
F-Statistics = 322.73
Prob (F-Statistics) = 0.0000

หมายเหตุ: *มีนัยสำคัญทางสถิติ ณ ระดับความเชื่อมั่น 0.05

การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ GDP โดยควบคุมตัวแปรด้านเวลา (Time Trend) ผ่านการใส่ตัวแปร Year ลงในแบบจำลอง เพื่อแยกผลกระทบจากการเติบโตทางเศรษฐกิจตามธรรมชาติ (Time Effect) ในแต่ละปีออกจากผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะ พบว่า ในช่วงปี 2014 - 2023 เศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติเฉลี่ยประมาณร้อยละ 0.02 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่น การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมให้สอดรับกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์หลังควบคุมปัจจัยด้านเวลา จะพบว่า การนำเข้าและการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับ GDP อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถอธิบายความสัมพันธ์ได้ดังนี้

  1. การนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับ GDP โดยผลการประมาณจากโมเดลแบบ Fixed Effects แสดงให้เห็นว่า เมื่อมูลค่าการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีความสัมพันธ์กับ GDP ที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.2010 อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การเป็นปัจจัยการผลิตให้กับอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อ GDP ของประเทศขยายตัวสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้รายได้โดยรวมของประชาชนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และนำไปสู่การขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะในด้านการบริโภค ทั้งนี้ 
    การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ดังกล่าวอาจทำให้เกิดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น
     
  2. การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับ GDP โดยพบว่า เมื่อมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีความสัมพันธ์กับ GDP ที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.0293 อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก อีกด้านหนึ่ง การขยายตัวของ GDP อาจสะท้อนถึงการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อพัฒนาสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง ทำให้ประเทศสามารถขยายโอกาสทางการค้าในตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น

จะเห็นได้ว่า การนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีความสัมพันธ์กับ GDP ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งอาจสะท้อนว่าการนำเข้าปัจจัยการผลิตเพื่อต่อยอดกระบวนการผลิตของสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สามารถกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศทั้งในด้านการผลิต การจ้างงาน และการสร้างมูลค่าตลาดของสินค้าขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศได้มากกว่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม สินค้าจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อาจถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องก่อนที่จะส่งออกเป็นสินค้าสำเร็จรูป เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) เป็นส่วนประกอบของการผลิต เป็นต้น ดังนั้น แม้ว่าการส่งออกจะมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการนำเข้า แต่การส่งออก ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเป็นแหล่งรายได้และเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ในอีกแง่หนึ่ง การที่ GDP เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีความสัมพันธ์กับการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการส่งออก สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของการนำเข้าปัจจัยการผลิตที่สำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นสุดท้าย อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างเศรษฐกิจในหลายประเทศยังคงพึ่งพาการนำเข้าเพื่อสนับสนุนการผลิตและเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ในการวิเคราะห์ปัจจัยในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสัมพันธ์กับ GDP อาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับ GDP นอกเหนือจากการนำเข้าและการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ รายจ่ายเพื่อการบริโภคของภาคเอกชนและประชาชน รายจ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชน และรายจ่ายของรัฐบาล เป็นต้น รวมถึงอาจจะมีความแตกต่างกันของโครงสร้างการผลิตของแต่ละประเทศ ดังนั้น ในการศึกษาครั้งต่อไปจึงควรนำปัจจัยเหล่านี้มาพิจารณาเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ผลการศึกษาสามารถสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจได้อย่างครบถ้วนมากยิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทย

สนับสนุนการอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบที่ไทยไม่สามารถผลิตเองได้

จากผลการวิเคราะห์พบว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีความสัมพันธ์กับ GDP ที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.2010 อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการนำเข้าสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นปัจจัยการผลิตในกระบวนการผลิต และมีความสำคัญต่อการขยายตัวของภาคการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น ภาครัฐควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงวัตถุดิบนำเข้าได้อย่างสะดวกมากขึ้นและมีต้นทุนที่เหมาะสม ผ่านการกำหนดนโยบายการอำนวยความสะดวกทางการค้าและลดอุปสรรคด้านการนำเข้าปัจจัยการผลิตที่จำเป็น เช่น การลดภาษีสินค้านำเข้า การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร และการสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

แม้ว่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จะมีความสัมพันธ์กับ GDP น้อยกว่าการนำเข้า แต่ยังคงแสดงความสัมพันธ์เชิงบวก โดยเมื่อมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีความสัมพันธ์กับ GDP ที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.0293 ซึ่งสะท้อนว่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาครัฐจึงควรส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้น พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลและผลักดันการทำข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้า เพื่อขยายโอกาสในเวทีการค้าระหว่างประเทศ

เสริมสร้างความสามารถทางการผลิตภายในประเทศ

การนำเข้าสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ GDP อาจสะท้อนถึงบทบาทของการเป็นปัจจัยการผลิตในกระบวนการผลิตสินค้าอื่น ๆ เพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น และหากสามารถยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมภายในได้ ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น ภาครัฐควรมุ่งเน้นการยกระดับเทคโนโลยีในภาคการผลิต ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) และพัฒนาแรงงานทักษะสูงให้สอดรับกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจากภายในอย่างแท้จริง

จากผลการวิเคราะห์ปัจจัยในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสัมพันธ์ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) หลังควบคุมปัจจัยด้านเวลา พบว่า การนำเข้าและ การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับ GDP อย่างมีนัยสำคัญ โดยการนำเข้ามีความสัมพันธ์กับ GDP ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการส่งออก สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของการนำเข้าที่เป็นปัจจัยการผลิตในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกช่วยสร้างรายได้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งผลการวิเคราะห์นี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการจัดหาปัจจัยการผลิต การเพิ่มความสามารถทางการผลิต และการเสริมสร้างศักยภาพด้านการส่งออก

 

บทความนี้จัดทำโดย

แผนกนโยบายและแผน ศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E Intelligence Unit: EIU) สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI)

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH