‘3 เหตุผล’ ถึงเวลาไทยต้องลงนาม ‘ILO 87 และ 98’

อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 2563
  • Share :
  • 670 Reads   

การสั่งตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (จีเอสพี) ของไทยโดยสหรัฐจุดประเด็นให้ไทยต้องเอาจริงกับการลงนามในอนุสัญญา ILO 87 และ 98 อีกครั้ง เพราะไทยยังไม่ยอมรับอนุสัญญา ILO ดังกล่าว ทำให้ทั้งลูกจ้างไทยและต่างด้าวเสียสิทธิและเสียประโยชน์

ย้อนหลังไปในปี 2557 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีความพยายามไม่น้อยในเรื่องการปฏิรูปปรับปรุงการคุ้มครองแรงงานไทยและต่างด้าว แก้ปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อให้พ้นจากการเฝ้าจับตาจากสากล ทั้งรายงานการค้ามนุษย์และประมงผิดกฎหมายจนสามารถปลดล็อกทั้งบัญชีรายงานการค้ามนุษย์และใบเหลืองการทำประมงผิดกฎหมายได้สำเร็จ

แต่ประเด็นสำคัญในมุมมองของสากลและกลุ่มเครือข่ายแรงงานของไทยคือ ทำไมไทยจึงยังไม่ผลักดัน หรือยอมรับอนุสัญญา ILO 87 และ 98 ที่เป็นหลักประกันการรับรองสิทธิลูกจ้างทั้งไทยและต่างด้าวให้จัดตั้ง รวมตัว และต่อรองกับนายจ้างได้ หรือการจัดตั้ง “สหภาพแรงงาน” ซึ่งทั้งเครือข่ายแรงงานไทยและต่างประเทศต่างมีความพยายามผลักดันมามากกว่า 20 ปี จนถูกหยิบมาเป็นสาเหตุที่จะทำให้ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษจีเอสพี

หากพิจารณาทบทวนถึงผลดี-เสียในด้านความมั่นคง สังคม และเศรษฐกิจแล้ว ผู้เขียนมองว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยควรให้สัตยาบันในอนุสัญญา ILO 87 และ 98 ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ

1. เพื่อยกระดับสิทธิพื้นฐานของแรงงานตามมาตรฐานสากล

การไม่ยอมรับอนุสัญญาดังกล่าวทำให้ที่ผ่านมาสัดส่วนสหภาพแรงงาน และสมาชิกสหภาพแรงงานมีน้อยมาก คิดเป็นสัดส่วน 3.62% เมื่อเทียบกับแรงงานในระบบกว่า 17 ล้านคน มีสหภาพ 1,400 แห่ง สมาชิก 6.1 แสนคน แต่แรงงานในระบบมีถึง 17.11 ล้านคน แต่มีแรงงานนอกระบบซึ่งไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานอีก 21.7 ล้านคน หรือ 50%

สำหรับสหภาพแรงงานที่มีอยู่โดยทั่วไปนั้น แรงงานไทยจะทำหน้าที่เป็นแกนนำหารือเจรจากับนายจ้างแทนแรงงานต่างด้าว ทำให้ที่ผ่านมาสิทธิบางอย่างของแรงงานต่างด้าวยังไม่เท่าเทียม หรือเผชิญข้อจำกัด เช่น สิทธิประกันสังคม หรือเงินสะสมในกองทุนประกันสังคม เป็นต้น

ทั้งที่โดยหลักการแล้วการยินยอมให้มีการ รวมตัวเรียกร้องหรือจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้น เป็นสิทธิที่แรงงานพึงมีก่อนมีกฎหมายรองรับ อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98

2. การจัดระเบียบปรับปรุงการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวมีประสิทธิภาพมากเพียงพอ

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีความชัดเจนและมุ่งมั่นจัดระเบียบการขึ้นทะเบียน การขอวีซ่า ขอใบอนุญาตของแรงงานต่างด้าว จนทำให้สถานการณ์การเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวมีสัดส่วนเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น

ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ระบุว่าเดือน ก.ย. 2562 มีแรงงานต่างด้าวประเภททั่วไปที่เข้ามาทำงานในไทย จำนวน 3,222,150 คน โดยเป็นแรงงานที่ได้รับการอนุญาตหรือมีหนังสือเดินทางตามกฎหมายจำนวน 1,747,723 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างการได้รับการผ่อนผันให้ทำงานตามระยะเวลากำหนด  เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตไทยที่มีแรงงานที่ใบอนุญาตหรือถูกต้องตามกฎหมายเพียง 1,626,235 คนเท่านั้น (ข้อมูล ณ เดือน ก.ย.2559)

ความพยายามของรัฐบาล คสช.ทำให้แรงงานต่างด้าวได้ทำงานอย่างถูกกฎหมายนี้ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและมั่นคงให้รัฐเปิดกว้างยอมรับการลงนามอนุสัญญา ILO 87 และ 98 เพราะเมื่อรัฐบาลมีความยินดีเปิดกว้างให้แรงงานเข้ามาทำงานเป็นการช่วยสร้างผลิตภาพและเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้กับประเทศแล้ว ไทยก็จำเป็นต้องเคารพสิทธิ ความเท่าเทียมของแรงงานเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

3. ผลประโยชน์ระยะยาวสำหรับนายจ้างและประเทศ

สำหรับนายจ้าง การลงนามในอนุสัญญาจะช่วยลดปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ในปัจจุบัน และอนาคตที่มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น จากการที่สังคมมีทัศนคติในทางลบต่อสิทธิและเสรีภาพในการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วม ทำให้ช่องทางในการพูดคุยอย่างเท่าเทียมโดยใช้หลักความเป็นเหตุเป็นผลมีไม่เพียงพอ

ระดับประเทศ การลงนามเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เนื่องจากช่วยปรับสถานะไทยออกจากรายชื่อประเทศสมาชิกส่วนน้อยขององค์การแรงงานระหว่างประเทศที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันอนุสัญญา 2 ฉบับนี้ ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากและถูกหยิบยกเป็น ตัวอย่างไปทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การให้สัตยาบันในอนุสัญญาดังกล่าว อาจจะมีผลกระทบในทางลบต่อประเทศคือความมั่นคงของชาติอยู่บ้าง แต่การเรียกร้องดังกล่าวก็เป็นไปตามสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและการไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งประเด็นนี้ฝ่ายความมั่นคงของชาติน่าจะสามารถดูแลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกองกำลังของชาติอยู่เป็นจำนวนมาก

ด้วย 3 เหตุผลนี้ ผู้เขียนมองว่ารัฐบาลควรส่งสัญญาณให้ชัดเจนในการร่วมให้สัตยาบันในอนุสัญญา ILO 87 และ 98 เพราะหากล่าช้าไปกว่านี้จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของประเทศ การถูกตัดสิทธิจีเอสพี ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างมากกว่าผลทางด้านความมั่นคงของชาติและด้านสังคมที่รัฐบาลให้ความกังวลอยู่ในขณะนี้

(ขอขอบคุณ ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา (คณะทำงานผลักดันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท) รายงานเรื่อง “อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ทำไมต้องให้สัตยาบัน?” สำหรับเป็นพื้นฐาน ในการเตรียมบทความฉบับนี้)

อ่านบทความ และรับข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่  :   TDRI สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) www.tdri.or.th